ผลของการพยาบาลตามทฤษฏีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายต่อพฤติกรรมสุขภาพ ของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว

Abstract

                 ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงจำเป็นต้องมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม เพื่อควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน  การพยาบาลตามทฤษฎีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย เป็นกระบวนการที่สามารถช่วยส่งเสริมให้ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีพฤติกรรมสุขภาพดังกล่าว การวิจัยเชิงทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ  ศึกษาผลของการพยาบาลตามทฤษฏีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ที่มารับบริการตรวจแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลแขวงสะหวันนะเขต  ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 ถึง กุมภาพันธ์ 2557 จำนวน 28 ราย โดยการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง  แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 14 ราย โดยกลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามทฤษฎีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย   ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล    2) แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง 3) แผนกิจกรรมการให้การพยาบาลตามทฤษฎีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย 4) คู่มือการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง 5) แบบบันทึกพฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง  วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาการวิเคราะห์ความแปรปรวนรูปแบบผสม และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวเมื่อมีการวัดซ้ำ และสถิติทดสอบค่าทีชนิดสองกลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน

                ผลการวิจัยพบว่า

               1. พฤติกรรมสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามทฤษฏีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายดีกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p<0.001)

              2. พฤติกรรมสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหลังได้รับการพยาบาลตามทฤษฏีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายดีกว่าก่อนได้รับการพยาบาลตามทฤษฏีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001)

             ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการพยาบาลตามทฤษฏีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถส่งเสริมให้ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสมดังนั้นการพยาบาลตามทฤษฏีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย จึงควรเสนอแนะให้มีการนำไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพการพยาบาลให้การดูแลประชากรดังกล่าวต่อไป